ฟอกเงิน 1

หลาย ๆ คน อาจเคยดูภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ที่เกี่ยวกับอาชญากรรม และมักเจอเรื่องราว “การฟอกเงิน” อยู่ในพล็อตเรื่องด้วย ซึ่งการฟอกเงินที่ว่าถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาชญากรรมเกี่ยวกับเงินที่แต่ละประเทศต่อต้านอย่างหนักเพราะมีผลกระทบแทบทุกด้านทั้งการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ

การฟอกเงิน คืออะไร ทำไปทำไม?

เริ่มแรกเรามารู้จักกับความหมาย การฟอกเงิน กันก่อน

การฟอกเงินหรือ Money Laundering คือทำให้เงินที่ได้มาแบบผิดกฎหมายกลายเป็นเงินที่ถูกกฎหมายจนสามารถเอาไปใช้ได้โดยที่ไม่ถูกตรวจสอบหรือถูกจับ ซึ่งเหมือนทำเงินสกปรกให้กลายเป็นเงินที่ขาวสะอาด เลยใช้คำว่า “ฟอก” นั่นเอง

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น พี่ทุยขอยกตัวอย่าง เช่น มีมาเฟียที่สร้างโรงงานผลิตยาเสพติดแล้วส่งออกไปขายล็อตใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจสีดำสนิทแบบนี้ลูกค้าคงไม่จ่ายด้วยพร้อมเพย์ สแกน QR-Code โอนเข้าบัญชีธนาคารหรือเขียนเช็คให้เด็ดขาด เพราะเงินที่ได้จากการค้ายาล็อตใหญ่ย่อมเป็นเงินก้อนมหาศาลที่หากโอนจ่ายเข้าบัญชี ธนาคารคงตั้งคำถามว่าเงินที่ไหลเข้ามาขนาดนี้มีที่มาจากอะไร

ดังนั้น เงินที่ได้จากธุรกิจแบบนี้คือเงินสดล้วน ๆ แบบเต็มกระเป๋า แต่เงินสดที่ได้มาก็อาจโดนตรวจสอบเหมือนกัน เลยต้องเปลี่ยนเงินสดนั้นให้เป็นสินทรัพย์อย่างอื่นก่อน เช่น เอาไปซื้อทองคำ เพชร อัญมณี ฯลฯ แล้วเอาของที่ซื้อไปขายต่ออีกที ก็จะได้เงินสดที่ขาวสะอาดถูกต้องตามกฎหมายกลับมาในที่สุด

หรืออีกวิธีคือสร้างธุรกิจถูกกฎหมายบังหน้า แล้วเอาเงินสดเข้าระบบบัญชีของธุรกิจนั้น ๆ เพื่อสร้างที่มาใหม่ว่า “เงินสดนี้ได้จากการทำธุรกิจที่ถูกกฎหมาย” ซึ่งส่วนมากอาชญากรมักฟอกเงินโดยใช้หลาย ๆ วิธีผสมกัน

ยิ่งเงินที่ได้มามีมากขนาดไหน รูปแบบการฟอกเงินยิ่งต้องมากตามไปด้วยเพื่อให้ที่มาของเงินสมเหตุสมผล ซึ่งมีหลายเคสเหมือนกันที่ถูกจับได้เพราะธุรกิจบังหน้ามีรายได้มากผิดปกติ เช่น เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ แต่มีรายได้หลักสิบล้านต่อเดือน ก็อาจโดนตรวจสอบจนสาวไปพบที่มาของเงินได้เหมือนกัน

สรุปแล้ว เงินก้อนขนาดใหญ่ที่ได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมายทั้งหลายแหล่ หากไม่มีการฟอกก่อนก็เอาไปใช้ไม่ได้เพราะเสี่ยงถูกตรวจสอบ ยิ่งก้อนใหญ่ก็ยิ่งต้องแบ่งหลาย ๆ กอง แล้วเอาไปฟอกหลาย ๆ ที่ ซึ่งในบางเคสเงินที่อยู่ในระบบการฟอก มีเครือข่ายโยงใยซับซ้อนที่สร้างความปวดหัวให้กับตำรวจพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งพี่ทุยจะพาไปดูเคสเหล่านี้ต่อไป

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นเรามาดูกันก่อนว่า การฟอกเงินเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนและทำไมถึงต้องเรียกว่าฟอกเงิน

จุดกำเนิด การฟอกเงิน

จริง ๆ แล้ว ไม่มีหลักฐานที่รู้แน่ชัดว่าจุดกำเนิดของการฟอกเงินอยู่ที่ไหน แต่ก็คาดการณ์ได้ว่าอาจเกิดขึ้นหลังจากมนุษย์เริ่มค้าขายโดยใช้เงินเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนได้ไม่นาน และเห็นภาพชัดขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว

ซึ่งตรงกับราชวงศ์ฮั่นของจีนที่เริ่มสร้างระบบราชการรวมศูนย์ไว้ โดยส่งคนจากส่วนกลางไปปกครองตามที่ต่าง ๆ และด้วยสเกลพื้นที่ของจีนที่ใหญ่โตมาก ทำให้ส่วนกลางดูแลไม่ทั่วถึง คนที่ถูกส่งไปปกครองบางครั้งก็รับใต้โต๊ะหรือไม่ก็ค้าของเถื่อนผิดกฎหมาย แล้วทำธุรกิจหลาย ๆ อย่าง กลบเกลื่อนปิดบังแหล่งที่มาของเงินเพื่อไม่ให้ส่วนกลางจับได้

ในเวลาต่อมาก็พบกระบวนการคล้าย ๆ แบบนี้ ในหลายที่ทั่วโลก แต่พี่ทุยบอกไว้ก่อนว่าตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักคำว่าฟอกเงินหรือ Money Laundering

แล้วคราวนี้มนุษย์เริ่มให้ความหมายคำว่า  “ฟอกเงิน” ตอนไหน?

จริง ๆ แล้ว มนุษย์รู้จักคำว่า ”ฟอกเงิน” ไม่ถึง 100 ปี และคนที่ทำให้ทั่วทั้งโลกรู้จักคำว่าฟอกเงินคือชายที่ชื่อว่า “อัลคาโปน (Al Capone)” ผู้ถูกขนานนามว่าก็อดฟาเธอร์และหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐฯ

โดยอัลคาโปนที่ว่าเป็นเจ้าพ่อแก๊งมาเฟียขนาดใหญ่ในชิคาโกเมื่อปี 1925 คุมธุรกิจผิดกฎหมายแบบครบวงจรทั้งคาสิโน บ่อนใต้ดิน ค้าประเวณี ส่งออกเหล้าเถื่อน ฯลฯ และธุรกิจพวกนี้ทำเงินให้อัลคาโปนและแก๊งแบบถล่มทลาย

ซึ่งเงินมหาศาลนี้อัลคาโปนใช้วิธีไหนปกปิดเพื่อหลบเลี่ยงการตามรอยของตำรวจ?

คำตอบคือ อัลคาโปนสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา และธุรกิจที่ว่าคือร้านซักรีดนั่นเอง!

อัลคาโปนขนเงินที่ได้จากธุรกิจสีดำทั้งหลายแหล่ไปเข้าบัญชีร้านซักรีดของตัวเองที่เปิดบังหน้าเอาไว้ แต่ก็ปกปิดไปได้ประมาณ 6 ปี อัลคาโปนก็ดันถูกจับในข้อหาหนีภาษี เลยโดนสาวไปถึงธุรกิจผิดกฎหมายต่าง ๆ จนตามรอยเงินทั้งหมดไปถึงร้านซักรีดในที่สุด

ซึ่งพอเปิดรายได้ออกมาตำรวจก็รู้ทันทีว่าเงินจากธุรกิจสีดำของอัลคาโปนทั้งหมดอยู่ที่ร้านซักรีด เพราะมีเงินหมุนอยู่ในบัญชีกว่าพันล้านดอลลาร์ ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ที่ร้านซักรีดจะทำเงินได้ขนาดนี้

การพยายามปกปิดที่มาของเงินโดยร้านซักรีดของอัลคาโปนก็เลยถูกเรียกว่า “การฟอกเงิน (Money Laundering)” ในที่สุด ซึ่งตามความเป็นจริงการฟอกเงินมีมาก่อนหน้านั้นนานมากแล้ว แต่อัลคาโปนถือเป็นคนที่ทำให้เกิดคำว่าฟอกเงินขึ้นมานั่นเอง

ฟอกเงิน 2

นาอูรู ประเทศที่หารายได้จาก การฟอกเงิน

เคสแรกเป็นเรื่องราวของประเทศเกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกชื่อว่า “นาอูรู (Nauru)” ซึ่งมีประชากรแค่ 10,800 คน และมีพื้นที่แค่ 21 ตารางกิโลเมตร (สเกลเทียบได้ประมาณอำเภอเล็ก ๆ ในไทย)

โดยในอดีตนาอูรูเป็นเกาะที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะมีธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ แต่ในเวลาต่อมาชาวยุโรปเดินเรือจนพบเกาะนี้และดันเจอขุมทรัพย์อันล้ำค่าที่เรียกว่าฟอสเฟต ซึ่งเป็นปุ๋ยชั้นดีและเป็นสารสารพัดประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร

คราวนี้บริษัทต่างชาติทั้งจากอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ก็แห่เข้ามาระเบิดเกาะสร้างเหมืองขุดฟอสเฟตจนสภาพเกาะบางส่วนเละตุ้มเป๊ะแทบอยู่ไม่ได้ ซึ่งออสเตรเลียก็เสนอย้ายประชากรชาวนาอูรูออกจากเกาะแล้วยกสัญชาติออสเตรเลียให้ แต่ชาวนาอูรูปฏิเสธหัวชนฝาและเรียกร้องอิสรภาพของตัวเอง จนนานาชาติยอมรับรองอิสรภาพของนาอูรูในปี 1968

หลังจากตั้งประเทศได้แล้ว รัฐบาลและชาวนาอูรูก็ร่วมกันกว้านซื้อบริษัทขุดฟอสเฟต แล้วเริ่มส่งออกฟอสเฟตเป็นรายได้หลักของประเทศ ซึ่งพี่ทุยบอกได้เลยว่าในช่วงทศวรรษ 1970 ฟอสเฟตทำให้ชาวนาอูรูรวยเละแบบไม่ทันตั้งตัว มีเม็ดเงินเข้าประเทศรวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์! ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่รวยที่สุดในโลกอยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว

ชาวนาอูรูที่รวยแบบฉับพลัน ก็ซื้อของหรูหราและอัดอาหารแบบจังก์ฟู้ดจนพากันอ้วนแบบไม่รู้ตัว แต่ภายในเวลาแค่ 20 ปี ฟอสเฟตก็เริ่มร่อยหรอและหมดลง แถมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะแทบปลูกอะไรไม่ได้เลยเพราะการทำเหมืองอย่างหนักหน่วง และแล้วนาอูรูก็พลิกจากประเทศที่รวยที่สุดกลายเป็นประเทศที่จนที่สุด แถมยังเจอปัญหาโรคอ้วนจากพฤติกรรมการกิน กลายเป็นประเทศที่มีสัดส่วนคนอ้วนเยอะที่สุดอีกด้วย!

คราวนี้ ชาวนาอูรูเลยแก้ปัญหาโดยการเปิดธนาคาร และแน่นอนว่าไม่ใช่ธนาคารธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่เป็นธนาคารที่เปิดช่องให้ฟอกเงินโดยเฉพาะ ซึ่งธนาคารในนาอูรูมีนโยบายหลัก ๆ ทั้งการไม่ตรวจสอบประวัติส่วนตัวของลูกค้าและไม่บันทึกแหล่งที่มาของเงินฝาก เรียกได้ว่า เป็นที่ที่เหมาะให้อาชญากรหอบเงินมาฟอกกันจนหนำใจ

ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ชาวนาอูรูยังประกาศขายที่ดินราคาถูกให้ชาวต่างชาติ ซึ่งดึงดูดนักธุรกิจเข้ามาซื้อจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่าประเทศที่แทบล้มละลายและไม่มีทรัพยากร คงไม่ได้ชวนให้น่ามาลงทุนเท่าไหร่ ดังนั้นจุดประสงค์ของนักธุรกิจพวกนี้คือเข้ามาซื้อที่ดินแล้วเปิดบริษัทเพื่อฟอกเงินนั่นเอง โดยประมาณการกันว่าตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา มีเงินไม่น้อยกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ฟอกในระบบเศรษฐกิจของนาอูรู

จากประเทศที่ร่ำรวยที่สุดกลายเป็นสรวงสวรรค์ของการฟอกเงินอย่างแท้จริง!

ตระกูลมาร์กอส การฟอกเงินของผู้นำระดับประเทศ

เคสที่สองพี่ทุยขอยกผู้นำระดับประเทศและตระกูลที่มีอิทธิพลในฟิลิปปินส์อย่างตระกูลมาร์กอสโดยมีผู้นำคือ เฟอร์ดินาน มาร์กอส ซึ่งมีชื่อพอสมควรในเรื่องการคอร์รัปชัน

ฟิลิปปินส์เคยเป็นอาณานิคมของสเปนและสหรัฐฯ จนได้รับอิสรภาพเมื่อปี 1946 ซึ่งเฟอร์ดินาน มาร์กอสเป็นนักกฎหมายที่กระโดดมาเล่นการเมืองจนชนะเลือกตั้งในปี 1965 ได้รับความนิยมจนถูกเลือกเป็นประธานาธิบดีถึง 2 วาระ แต่พอในปี 1972 ที่ต้องลงจากตำแหน่ง มาร์กอสกลับเลือกชัตดาวน์ประเทศประกาศกฎอัยการศึกเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไป

จนในปี 1986 คนฟิลิปปินส์ก็ทนการปกครองของมาร์กอสไม่ไหว รวมตัวประท้วงโค่นล้ม เฟอร์ดินาน มาร์กอสลงในที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการตรวจสอบตระกูลมาร์กอสย้อนหลังและพบทรัพย์สินจำนวนมาก

เช่น คฤหาสน์ 50 หลังในฟิลิปปินส์, ที่ดินหลายร้อยผืนในอังกฤษ ออสเตรีย อิตาลี, ตึกในนิวยอร์ก นิวเจอร์ซี ซีแอตเทิล,  ธนาคารและโรงแรมในอิสราเอล, รวมถึงเครื่องเพชรและคอลเลกชั่น  รองเท้าหรูกว่า 2,000 คู่ ซึ่งตระกูลมาร์กอสก็มีการแบ่งเงินหลาย ๆ กองไปฟอกกับธุรกิจของตัวเองที่อยู่ในแต่ละประเทศ

ตลอด 21 ปีที่ตระกูลมาร์กอสคุมฟิลิปปินส์ ไม่มีใครรู้แบบชัดเจนว่าจริง ๆ แล้ว ตระกูลนี้ได้เงินไปมากขนาดไหน แต่ก็มีบางแหล่งที่ประเมินไว้ว่าอาจแตะถึงระดับ 3 หมื่นล้านดอลลาร์เลยก็ได้

BCCI การฟอกเงินของธนาคารยักษ์ใหญ่ในยุค 1980

เคสที่สามคือธนาคารที่ชื่อว่า BCCI หรือ Bank of Credit and Commerce International ซึ่งสร้างในปี 1972 โดย “อัคฮา ฮาซัน อเบดี (Agha Hasan Abedi)” นักธุรกิจชาวปากีสถาน มีสำนักงานใหญ่ของ BCCI อยู่ในการาจีและลอนดอน แถมมีสาขากระจายใน 78 ประเทศทั่วโลก มีฐานลูกค้าระดับ 1.3 ล้านคน มีทรัพย์สินรวมกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกในตอนนั้น

ทั้งเครดิตและโปรไฟล์ที่เลิศหรูขนาดนี้ หากมองแค่ผิวเผินเหมือนว่า BCCI เป็นธนาคารที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก แต่หากเจาะลึกไปถึงเบื้องหลังจะพบลับลมคมในหลายอย่างเลยทีเดียว ทั้งการที่โตเร็วผิดปกติ แถมโครงสร้างหน่วยงานยังซับซ้อน เพราะ BCCI มีแผนกแยกย่อยกระจายออกไปกว่า 400 แผนก แถมมีแผนกที่ทำงานซ้ำ ๆ กัน ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องเปิดถึง 400 แผนก

คราวนี้ทั้งทนาย อัยการ และนักสืบก็เห็นความผิดปกติของ BCCI และเริ่มขุดคุ้ยแบบจริงจังว่าแต่ละแผนกแอบทำอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ โดยส่งสายลับแทรกซึมเข้าไปตามสาขาต่าง ๆ ของ BCCI จนไปพบเงินไร้แหล่งที่มาไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์

แถมยังขุดคุ้ยต่อไปจนเจอรายชื่อลูกค้าของ BCCI ที่แต่ละรายไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เช่น นักการเมืองระดับสูงของหลาย ๆ ประเทศ ผู้ทรงอิทธิพลที่มีประวัติไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ และกลุ่มอาชญากรที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างแก๊งเมเดยิน (Medellin Cartel) ซึ่งเป็นแก๊งโคลอมเบียของราชาโคเคนปาโบล เอสโคบาร์ ทำให้รู้เลยว่า BCCI เป็นศูนย์กลางการฟอกเงินขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก

และแล้วในปี 1991 ธนาคารก็ถูกสั่งให้ปิดกิจการแบบฉับพลัน ทำให้ลูกค้ากว่า 1 ล้านคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินเลยเดือดร้อนจนต้องฟ้องร้องกันใหญ่โต และถึงแม้จะปิดตัวลง แต่เรื่องราวของ BCCI ก็ยืดเยื้อยาวนานไปอีก 20 ปี  ถึงกับมีคนขนานนามเคสของ BCCI ว่า “เป็นการฉ้อโกงของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลก”


ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
Battlebit Remastered วิธีเพิ่มเลเวล สามารถทำได้ยังไง
การสังเคราะห์ หลักการทางวิทยาศาสตร์
Sands United: สโมสรฟุตบอลที่รับมือกับความโศกเศร้า
บังกลาเทศชนะ 50 รันเหนืออังกฤษใน ODI ที่สาม
ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://www.uruguay-portal.com/
สนับสนุนโดย  ufabet369
ที่มา www.moneybuffalo.in.th